นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางมาที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยแบ่งเป็น 5 คดีดังนี้
คดีแรก ตนได้ร้องเรียนให้เอาผิดกับ ผู้อำนวยการส่วนควบคุมด่านศุลกากร // อดีตนายด่านศุลกากรแหลมฉบัง /// อดีตรองอธิบดีฝ่ายปราบปราม // และอดีตอธิบดีกรมศุลกากร ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยนายอัจฉริยะให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ตู้คอนเทนเนอร์มาถึงที่ท่าเรือ บริษัทชิปปิ้งได้มีการสำแดงเท็จ โดยเปลี่ยนจากเนื้อสุกรเป็นเม็ดพลาสติกหรือพอลิเมอร์ เพื่อลดภาษีการนำเข้า และบริษัทชิปปิ้งได้มีการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 4 คน ที่ตนได้มาร้องเรียน โดยเฉพาะผู้อำนวยการส่วนควบคุมด่านศุลกากร ได้มีการเรียกสินบนกับบริษัทชิปปิ้งดังกล่าว โดยจะเรียกในราคาประมาณ 360,000 บาท ต่อตู้ โดยหลังจากนี้จะต้องไปสืบสวนอีกว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อีก
คดีที่สอง เป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษอดีตอธิบดีกรมประมงกับพวก ร่วมกันสำแดงเท็จจากซากสุกรเป็นหัวปลาแซลมอนเพื่อลดค่าภาษีการนำเข้า อีกทั้งยังได้ใช้เอกสารปลอมในการสำแดงอีกด้วย
คดีที่สาม เป็นการร้องเรียนอดีตหัวหน้าด่านกักสัตว์ชลบุรี ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบโดยทุจริตและเรียกรับสินบนในการช่วยขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนโดยปกติแล้ว ก่อนจะปิดการนำหมูเข้ามาภายในประเทศนั้น บริษัทชิปปิ้งจะต้องแจ้งหัวหน้าด่าน ให้มีการไปตรวจถึงที่มาของหมู ว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด หรือปราศจากโรคภัยหรือไม่ ซึ่งทำให้เสียค่าใช้จ่ายเป็นอย่างมาก ได้เวลาค่อนข้างยาวนาน จึงทำให้อดีตหัวหน้าด่านจากการสัตว์ชลบุรีคนนี้ ได้มีการตกลงกับบริษัทชิปปิ้ง ให้จ่ายมาในราคาตู้ละ 30,000 บาท เพื่อแลกกับการไม่ตรวจโรค และนายตรวจปศุสัตว์เรียกรับเงิน 500 บาทต่อตู้
คดีที่สี่ เป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษ เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์พญาไทจำนวน 3 ราย หลังจากมีการนำเข้าตับหมูทั้งสิ้น 3 ตู้น้ำหนักรวมกัน 75 ตัน และต่อมาพบว่าในตับหมูมีเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียราว 1.5 ตัน ซึ่งโดยตามระเบียบแล้วจะต้องทำลายตับหมูที่นำเข้ามาทั้งหมดทิ้ง แต่เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทั้ง 3 รายนั้น กลับทำลายเพียงแค่จุดที่ตรวจพบเชื้อโรคเพียงเท่านั้น ส่วนตับหมูจุดอื่นได้มีการอนุญาตให้ออกไปขายต่อได้
คดีที่ห้า ร้องทุกข์กล่าวโทษ หัวหน้านายด่านกักกันสัตว์ชลบุรี และเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ ได้ร่วมกันลักลอบนำของกลางตีนไก่ 2 ตู้ไปขายโดยทุจริต โดยทั้งสองคนได้เอาตู้ไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา แต่แทนที่จะนำไปตรวจสอบหาเชื้อโรค แต่กลับเอาไปขายให้กับบุคคลอื่น ซึ่งเรื่องนี้ทางการท่าได้มีการทวงถามอยู่ตลอด แต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีการส่งของกลางกลับไปให้การท่าดำเนินการต่อแต่อย่างใด
นายอัจฉริยะยืนยันว่า ทุกคดีตนมีหลักฐานมากเพียงพอที่จะสามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐได้ และทั้ง 5 คดีนั้น บุคคลที่ตนมาร้องทุกข์กล่าวโทษ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ให้แยกเป็นคนละคดี
นอกจากนี้นายอัจฉริยะยังบอกอีกว่า วันพรุ่งนี้ ตนและ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI จะมีการร่วมกันบุกค้นบริษัทที่นำเข้าหมูเถื่อนรายใหญ่ ที่สามารถโยงไปถึงนักการเมืองผู้อยู่เบื้องหลังได้อย่างแน่นอน ซึ่งนักการเมืองคนนี้ เป็นนักการเมืองที่อยู่พรรคฝั่งรัฐบาล แต่ไม่ได้มีตำแหน่งในรัฐบาล เป็นเพียงแค่ สส.ในพื้นที่ แต่ในอดีตเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อน พร้อมกับบอกใบ้แค่ว่า สถานที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ